Skip to content Skip to footer

อยากจะขึ้นเหนือลุยดอยแบบฮิปๆ แต่จะไปเชียงใหม่คนก็ชุกเหลือเกิน นี่เลย ขอนำเสนอจังหวัดน่าน!

ทริปนี้ 3 คน รวม 5 วัน 6 คืน ซึ่ง 1 คืนแรกนั้นก็คือบนรถไฟนั่นเอง

ตอนแรกก็นึกว่านั่งรถไฟปุ๊บจะถึงเมืองน่านเลย แต่เปล่า! สถานีเด่นชัยอยู่จังหวัดแพร่นะ

ต้องนั่งรถต่อจากเมืองแพร่เข้าน่านแล้วจากน่านไปปัวต่อ เพื่อที่คืนแรกเราจะได้ขึ้นไปนอนเต๊นท์ดูดาวบนภูคากัน

จากภูคา ในคืนต่อๆมาเราจะนอนที่ภูแว > ปัว > ผาชู้ > แล้วก็เมืองน่านตามลำดับ
เพื่อที่วันสุดท้ายเราจะได้ขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพฯทัน

1. ภูคา

เริ่มสตาร์ทที่สถานีเด่นชัย กว่าจะขึ้นดอยภูคาอากาศก็เริ่มเย็น ทางขึ้นคดเคี้ยวมากๆ เห็นทิวไม้เยอะแยะได้ตลอดทาง  ขึ้นมาถึงข้างบนก็เกือบ 5 โมงแล้ว แสงยังมลังเมลืองอยู่ ฟ้าตุ่นๆ ขุ่นๆ ตามสไตล์ท้องฟ้าที่มีหมอกลง

ที่ความสูง 1715 อยากชวนให้ตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน  นอกจากป้ายบอกความสูงจะสวยแล้ววิวก็สวยดีมากก
ชั่วขณะที่มองดูอยู่รู้สึกเหมือนกับว่าได้รับพลังงานบวกแผ่มาจากพระอาทิตย์
รวมไปถึงจากคนรอบๆข้างที่มาร่วมดูพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมๆ กันยังไงยังงั้น เข้าใจแล้วว่าทำไมคนอื่นถึงชอบตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน

2. ภูแว

ปักหมุดภูคาสำเร็จไปแล้วหนึ่งดอย ดอยต่อไปคือ ภูแว ก่อนขึ้นดอยภูแวแนะนำให้ทุกคนเตรียมพร้อมมาก่อน ทั้งร่างกายและข้อมูลประกอบ อย่างแรกเลยคือเช็คสภาพอากาศก่อนมาด้วย

ต่อไปต้องรู้นะว่านี่ไม่ได้มาเล่นๆ นี่ต้องเดินบุกป่าฝ่าดงข้าวโพดไปประมาณ 4-5 ชั่วโมงนะ กว่าจะถึงยอด! แล้วหน้าหนาวที่นี่มืดเร็วมาก 5 โมงก็เริ่มมองอะไรไม่เห็นแล้ว และอุปกรณ์ยังชีพต้องพร้อม เต๊นท์ ถุงนอน หมอนมุ้ง มาม่าอะไรเอาไปให้หมด ข้างบนมีแต่ภูเขากับเหล่าน้องวัว
 ที่เหลือคือป่า หรือถ้าใครมีการเตรียมพร้อมเป็น 0 ก็เช่าเต๊นท์จากอุทยานภูคาไปก็ได้

การเดินเขา ต้องจ้างเจ้าหน้าที่อุทยานนำทางไปด้วย 1 คน ที่สำคัญอีกอย่างคือลูกหาบ
ถ้าสัมภาระเยอะหน่อยก็ต้องจ้างมากกว่า 1 คน  หรือใครของน้อยๆหน่อยก็โซโล่แบกขึ้นได้เลย

ควรมาถึงที่จุดเริ่มไม่เกิน 11 โมง เผื่อเวลาเดินไว้เลย 6 ชั่วโมง เพราะไม่รู้กำลังขาใครเท่าไหนบ้าง แต่เดินเที่ยงๆ ก็ร้อนอยู่ดี เพราะงั้นรีบมาดีกว่า เดินมาได้สักพักก็มาพักกันที่หมู่บ้าน จากหมู่บ้านต้องลุยเข้าไปในสวนข้าวโพด  ถึงตอนนี้เดินง่ายขึ้นแล้วเพราะทางเดินไม่ใช่ป่า

แต่เป็นทางชันขึ้นไปเรื่อยๆตามแนวขอบเขาทางเดินที่ชาวบ้านเค้าปลูกข้าวโพดกัน

ตอนนี้อยู่สูงมาก ใกล้พระอาทิตย์มาก แต่อากาศก็ดีมากเหมือนกัน ล้อมรอบไปด้วยไร่ข้าวโพดสีทอง

และแล้วก็มาถึงจุดกางเต๊นท์บนดอยภูแวแล้ว! หลังจากเหนื่อยมาทั้งวัน เลยได้แต่นอนแผ่อยู่กับหญ้า ปล่อยสมองให้โล่งๆ กะว่าเดี๋ยวฟ้าเปิดจะถ่ายรูปรัวๆ แต่หมอกลงหนากว่าเดิมอีกก
พอหมอกลงเลยกลายเป็นว่าไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากนอนเล่นกับดูภูเขา และกิจกรรมที่ทำส่วนใหญ่ข้างบนเลยเป็นการกางเต๊นท์และพัดฟืน

ส่วนกิจกรรมยามดึกคือผิงไฟและนั่งคุยนั่งเม้าท์ และคงเป็นเพราะจุดไฟทั้งคืน อากาศที่หนาวๆอยู่เลยกลายเป็นเย็นสบายกำลังพอดี ทั้งคืนผ่านไปแบบสโลว์ไลฟ์มาก เป็นโมเมนท์ที่รู้สึกสงบจิตสงบใจมากเลย

3. บ่อเกลือ

ลงมาจากภูแวก็ไปบ่อเกลือต่อเลย ระหว่างทางก็ธรรมชาติดีมากๆ  เป็นโมเมนต์ปล่อยวางทางจิตใจโดยแท้

บ่อเกลือที่นี่ถ้าจำไม่ผิดเป็นเกลือสินเธาว์ หรือเกลือภูเขา และด้วยความที่เค้าส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวด้วยที่นี่ก็จะมีป้ายบอกทางจุดท่องเที่ยว มีโฮมสเตย์อะไรให้เข้าถึงได้ง่ายอยู่พอสมควร

4. ฟาร์มเห็ดบ้านน้ำปัว

ที่นี่คือดีงามมากกกก บรรยากาศดีสุดๆ ถ่ายรูปมุมไหนก็สวย เป็นบ้านตากอากาศในอุดมคติเลย  เรือนไม้ที่มาทานข้าวเที่ยงกันตกแต่งสไตล์ยุโรปๆ หน่อยมองออกไปเป็นวิวทุ่งหน้า กับป่าเขาสุดลูกหูลูกตา

ป้ายสีน้ำเงินเล็กๆ บอกทางลงไปที่อีกสถานที่ท่องเที่ยวนึง คือ วังศิลาแลง (อยู่ในฟาร์มเห็ดนี่แหละ) จากร้านอาหารเดินลงไปผ่านทุ่งนาไปนิดเดียวก็ถึงแล้ว

เดินมาสักพักจะมีเขื่อนกั้นน้ำ ซึ่งน้ำก็จะไหลมาจากวังศิลาแลงอีกทีที่เป็นป่าๆอยู่ด้านหลัง

5. ผาชู้

บ่ายนิดๆ ก็ออกจากฟาร์มเห็ด เตรียมไปนอนที่ผาชู้กัน !

พูดว่าผาชู้อาจจะไม่ค่อยคุ้นหูกันเท่าไหร่ แต่ถ้าบอกว่าดอยเสมอดาวน่าจะคุ้นหูกันอยู่ ความจริงคือมันอยู่ที่อุทยานเดียวกัน แต่อยู่กันคนละยอดเท่านั้นเอง แล้วดอยเสมอดาวก็จะค่อนข้างฮิตกว่า คนเยอะกว่าเลยเลือกจองเต๊นท์ที่ผาชู้แทน

ถ้าเปรียบเทียบกันดอยเสมอดาวเค้าจะไปดูดาวกันเพราะมองได้รอบ 360 องศา

ส่วนผาชู้เค้าจะนิยมมาดูทะเลหมอก เพราะอยู่ในระดับที่หมอกรวมตัวเกาะกลุ่มกันได้ดี

บรรยากาศของเต๊นท์รอบๆ ผาชู้ คนไม่เยอะมาก สงบดีเหมือนกัน เทียบกับเต๊นท์ที่ดอยเสมอดาวคือเยอะมากกกก รู้สึกดีใจนิดนึงที่เลือกไปผาชู้

6. เสาดินนาน้อย

ขาลงจากดอยเสมอดาวจะผ่านเสาดินนาน้อย เสาดินที่นี่คาดว่าเกิดจากการเคลื่อนที่ของเปลือกโลกในสมัยโบราณ บวกกับลมน้ำกัดเซาะ นานเข้าก็เลยหน้าตาประหลาดแบบนี้

ที่นี่นอกจากจะดังเรื่องเสาดินแล้วยังดังเรื่อง ต้นดิกเดียมด้วยนะ คือเค้าว่ากันว่าต้นดิกเดียมเเอานิ้วมือไปถูๆตรงต้น อยู่ดีๆ กิ่งไม้จะสั่นๆ เหมือนคนจั๊กจี้

7. สุดฤทธิ์ Art Gallery

ในที่สุดก็กลับมาพักที่ตัวเมืองน่านแล้ววว ดีใจมากที่หาที่พักที่นี่เจอ เพราะมันเท่มาก! เป็น art gallery + ร้านกาแฟ ที่มีห้องพักจำนวนไม่มาก แถมยังอยู่ใจกลางเมือง เดินทางง่ายสุดๆ
และหน้าปากซอยยังมีจักรยานให้ยืมฟรีอีก

ใครชอบที่พักบรรยากาศแบบเราเข้าไปดูได้เลยย Sudrit Arts Gallery อย่างที่บอกว่าเปิดเป็น cafe ด้วย บรรยากาศข้างในกุ๊กกิ๊กสุดๆ คอกาแฟน่าจะชอบเลยแหละ มีกาแฟดริปประเภทต่างๆ อยู่เต็มเลย

8. เมืองน่าน

เที่ยวป่าเที่ยวเขามาตั้งเยอะละ ไปลุยในเมืองกันบ้าง วัดภูมินทร์ เค้าบอกว่าถ้าลอดซุ้มใต้พญานาค  ข้างซ้ายหรือข้างขวานี่แหละแล้วจะได้แฟน นอกจากนั้นในวัดภูมินทร์ยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังด้านในที่เรียกว่า ปู่ม่านย่าม่าน เป็นรูปคนสมัยโบราณกระซิบกัน จนชอบมีคนเอาไปเขียนเป็นข้อความเก๋ๆ ว่ากระซิบรักเมืองน่าน 


ขอจบด้วยรูปพระอาทิตย์ตกดิน  บางทีก็ดีเหมือนกันที่ไปเที่ยวโดยไม่ต้องวางแพลนอะไรมาก พอได้ไปเจอสิ่งที่ดีๆ แบบไม่ได้ตั้งใจกลับทำให้รู้สึกว่าดียิ่งกว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามแพลนเป๊ะๆ ซะอีก
ถ้ายังไงลองหาโอกาสมาเที่ยวเมืองรองเล็กๆ แต่บรรยากาศไม่เล็ก ที่จังหวัดน่านกันนะ : )

Show CommentsClose Comments

Leave a comment